ยายเผยหลานสาววัย 13 ยอมกินเหล้าเพียวจนน็อก หวังได้ 1 พันมาให้ครอบครัว

ยายเด็กหญิงวัย 13 ปี ชาว อ.หนองบุญมาก โคราช เผยหลานซดเหล้าเพียวๆ จนน็อกหมดสติ หวังนำเงินค่าจ้าง 1 พันบาท มาช่วยเหลือ 13 ชีวิตที่อาศัยร่วมบ้านเดียวกัน ฝากเป็นอุทาหรณ์ถึงทุกครอบครัว และขอคนก่อเหตุอย่าทำแบบนี้กับใครอีก โดยเฉพาะเด็กๆ

ความคืบหน้ากรณี เด็กหญิงเอ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 หลานสาวของนางอุ้ย อายุ 72 ปี ชาวบ้าน บ้านมิตรสัมพันธ์ ต.หนองตะไก้ อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา ที่ถูกจ้างซดเหล้าเพียวๆ คนละครึ่งขวดกับเพื่อนเด็กชายวัยเดียวกันในงานแห่นาค เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยผู้จ้างเสนอว่าหากดื่มหมดจะให้เงิน 1,000 บาท ซึ่งภายหลังจาก ด.ญ.เอ ดื่มสุราเสร็จ ได้เกิดช็อกหมดสติ ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลหนองบุญมาก แต่อาการหนักทำให้ต้องส่งตัวไป รักษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แม้ว่าตอนนี้อาการของ ด.ญ.เอ จะปลอดภัย ออกจากห้องไอซียูแล้ว แต่ยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ต่อ

ล่าสุด วันนี้ (11 มิถุนายน 2567) นางอุ้ย กระพี้นอก ยายของเด็กหญิงเอ ออกมาเปิดใจกับสื่อฯ ว่า หลานของตนเป็นเด็กที่น่ารัก ขยันช่วยเหลือครอบครัวเป็นอย่างดี แต่ก็ดื้อบ้างเพราะมีลักษณะนิสัยคล้ายเด็กผู้ชาย อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย ซึ่งวันเกิดเหตุ หลานของตนมาขอเงิน 20 บาท และขออนุญาตไปเก็บเงินโปรยทานงานบวชที่จัดแถวๆ บ้าน แต่ตนก็ไม่ได้อนุญาตให้หลานไป กระทั่งมีคนโทรศัพท์มาบอกในตอนเย็นว่า ให้ไปดูหลาน จึงรีบตามไปดู พอไปถึงก็พบว่า หลานนอนสลบ ตาค้าง จึงมีการโทรเรียกรถกู้ภัยฯ ให้มาช่วยเหลือรับตัวไปส่งยังโรงพยาบาล ซึ่งระหว่างเดินทางตนกอดหลาน พร้อมกับบอกว่า “นางอยากได้เงิน 1,000 บาทมาให้ยายเหรอ” แต่หลานก็นิ่งไม่รู้สึกตัว

นางอุ้ย กล่าวอีกว่า ได้สอบถามกับเพื่อนของหลานที่ไปด้วยกัน ทราบสาเหตุว่า หลานถูกจ้าง 1,000 บาทให้ดื่มเหล้า และหลานอยากได้เงินค่าจ้างมาให้กับยาย เพราะปกติในช่วงปิดเทอม หลานสาวมักจะออกไปเก็บเหรียญโปรยทานเกือบทุกครั้งที่มีงานบุญ พอเก็บมาได้ ก็จะนำเงินทั้งหมดมาให้กับตน เอาไว้จ่ายเป็นค่าขนมไปโรงเรียนและไว้ใช้จ่ายช่วยเหลือครอบครัว เพราะครอบครัวของตนลำบากมาก อาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 คนในบ้านหลังเล็กๆ ที่มีสภาพทรุดโทรม โดยเฉพาะบริเวณหลังบ้าน เวลามีฝนตกไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เนื่องจากหลังคาเป็นรู ฝนตกลงมาแต่ละครั้ง ก็ต้องหาภาชนะมารองน้ำฝนเอาไว้ ไม่ให้น้ำท่วมภายในบ้าน นอกจากนี้ พื้นที่หลังบ้านที่ใช้เป็นครัวประกอบอาหาร ก็มีเพียงแค่พื้นดินกับสังกะสีล้อมเอาไว้เท่านั้น และใช้เตาถ่านทำกับข้าวในแต่ละวัน

“รายได้หลักๆ ที่เอาไว้ใช้จ่ายในครอบครัว จะได้จากเบี้ยคนชราของตัวเองและสามี นอกจากนี้ ก็มีเงินของลูกอีกคนที่ไปทำงานกรุงเทพฯ ส่งมาช่วยเหลือบ้าง แต่ในบ้านยังมีคนป่วยอีก 2 คนที่จำเป็นจะต้องดูแล โดยคนหนึ่งเป็นวัณโรค อีกคนเป็นโรคเบาหวาน ประกอบอาชีพไม่ได้ ต้องประสบปัญหาเวลานำคนที่ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ รู้สึกตกใจและเสียใจอย่างมากที่หลานจะต้องมาประสบเคราะห์กรรมแบบนี้ อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนทุกครอบครัว และอยากฝากไปถึงคนที่ก่อเหตุ อย่าได้ไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก โดยเฉพาะกับเด็กๆ”