จากกรณีที่ น.ส.อุ้ม อายุ 21 ปี ร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า น้องเฟิร์น ลูกสาววัย 9 เดือน ถูกน.ส.แป้ง อายุ 24 ปี ลูกพี่ลูกน้องตน เป็นผู้พิการทางสติปัญญา อุ้มลูกหนีหายไป โดยไม่รู้ว่าไปไหนและไม่ทราบชะตากรรมของลูกสาว ที่ต่อมา มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ว่าพบน้องเฟิร์นแล้ว หลังได้รับเบาะแสจากพลเมืองดีว่าเห็นน.ส.แป้ง อุ้มน้องเฟิร์นเดินขายลูกโป่งอยู่ที่ตลาดบ่อนไก่ พื้นที่อ.เมืองจ.นครสวรรค์ น้องเฟิร์นได้กลับสู่อ้อมอกแม่อย่างปลอดภัย ความคืบหน้าต่อมา จากการสอบสวนน.ส.แป้ง เธออ้างว่าทะเลาะกับสามีจึงคิดจะกลับบ้านที่จังหวัดนครสวรรค์ และด้วยความรักน้องเฟิร์น จึงตัดสินใจพาเด็กไปด้วย โดยไม่ได้แจ้งให้ครอบครัวทราบ ไม่ได้มีเจตนาลักพาเด็กไปแต่อย่างใดเพียงแต่ได้เลี้ยงดูกันประจำ พอจะกลับบ้านจังหวัดนครสวรรค์เลยพาอุ้มไปด้วยเท่านั้น
ถึงกระนั้นเรื่องยังไม่จบไปเจอ ความแปลกครอบครัวของนางสาวอุ้ม แม่เด็กหญิง อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ในบ้านหลังเดียวกันในพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในบ้านหลังนี้ มีแม่ใหญ่ นามสมมติเป็นเจ้าของบ้านมาเปิดเช่าไว้ จะรวบรวมลูกเขย ลูกสะใภ้ หลานเขยหลานสะใภ้ มาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน ผลิตลูกผลิตหลานอยู่เป็นสมาชิกในบ้านนี้ทั้งหมดกว่า 30 คน แล้วจะให้บรรดาลูกหลานที่ผลิตขึ้นมาได้ ออกมาเร่ขายของตามงานวัด ตามร้านอาหารในเวลากลางคืนสร้างรายได้จนสามารถซื้อที่ดินกว่า 1 ไร่เป็นของตัวเอง ทำเป็นบ้านพักอยู่อาศัยในพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยาอยู่อาศัย
ปัญหาดังกล่าวนางปวีณา หงสกุล ได้รับไว้จะประสานงานกับทาง พม. เข้ามาตรวจสอบ เข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือการใช้แรงงานเด็กหรือไม่ ซึ่งทางนี้ ตำรวจอยุธยาเคยเข้าไปตรวจสอบในเบื้องต้นกับ พม. จังหวัด ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เนื่องจากเป็นการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวไม่เข้าข่ายการค้ามนุษย์ ใช้แรงงานเด็ก อย่างไรแล้วนางปวีณา หงสกุล ยังคงยืนยันต้องเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา
